วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การเขียนแบบสอบถาม (Questionnaire)

1 สืบค้น
การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ
          1  การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งหาข้อเท็จจริงและข้อสรุปเชิงปริมาณ เน้นการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของข้อค้นพบ และสรุปต่างๆ มีการใช้เครื่องมือที่มีความเป็นปรนัยในการเก็บรวบรวมข้อมูลเช่น แบบสอบถามแบบทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ การทดลอง เป็นต้น
                   2 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการวิจัยที่นักวิจัยจะต้องลงไปศึกษาสังเกต และกลุ่มบุคคลที่ต้องการศึกษาโดยละเอียดทุกด้านในลักษณะเจาะลึก ใช้วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการเป็นหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลจะใช้การวิเคราะห์เชิงเหตุผลไม่ได้มุ่งเก็บเป็นตัวเลขมาทำการวิเคราะห์ 

ข้อแตกต่างระหว่างการวิจัยเชิงเชิงคุณภาพและการวิจัยปริมาณ
            การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพมีที่มาแตกต่างกัน กล่าวคือ  การวิจัยเชิงคุณภาพมีพื้นฐานปรัชญาแบบธรรมชาตินิยม (Naturalism)  ในขณะที่การวิจัยเชิงปริมาณมีพื้นฐานแบบปรัชญาแบบปฏิฐานนิยม  (Positivism)  ดังนั้น การค้นหาความจริงด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพจะเน้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามสภาพการณ์ที่เป็นธรรมชาติ  ซึ่งบางครั้งเรียกว่า แนวคิดแบบปรากฎการณ์นิยม (Phenomenalism)  แล้วอาศัยวิธีการพรรณนาเป็นสำคัญ  ในขณะที่การค้นหาความจริงด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณต้องอาศัยกระบวนการหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่บนรากฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์ และขั้นตอนที่มีระเบียบแบบแผน
            ในกระบวนการศึกษาวิจัยด้วยวิธีการเชิงคุณภาพจะเริ่มต้นด้วยข้อมูลสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาศึกษาวิเคราะห์ด้วยวิธีการอุปมาน  แล้วสรุปตีความผลการวิเคราะห์ตั้งเป็นองค์ความรู้  เป็นกฎหรือทฤษฎี    กรณีของการศึกษาวิจัยวิธีการเชิงปริมาณจะเริ่มต้นด้วยกฎหรือทฤษฎีก่อน  จากนั้นข้อมูลเชิงประจักษ์จะถูกรวบรวมและนำมาศึกษาวิเคราะห์ด้วยวิธีการอนุมาน และสรุปเป็นข้อค้นพบ
         







          เปรียบเทียบความแตกต่างในคุณลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ
การวิจัยเชิงคุณภาพ
การวิจัยเชิงปริมาณ
1.  มีรากฐานมาจากปรัชญาแนวคิดแบบธรรมชาตินิยม(Naturalism) 
2. มุ่งทำความเข้าใจในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้ง
3. เป็นการวิจัยที่เน้นการพรรณนา/อธิบาย (Descriptive approach)
4. ให้ความสำคัญกับกระบวนการได้มาซึ่งความจริงโดยมองแบบองค์รวม (Wholisticview)
5. ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงอุปมาน
6. มุ่งแสวงหาความรู้เพื่อสร้างเป็นกฏ/ทฤษฎี
7. สิ้นสุดการศึกษาวิจัยด้วยทฤษฎี
8. ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในสาขาวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
1. มีรากฐานมาจากปรัชญาแนวคิดแบบปฏิฐานนิยม (Phenomenalism)
2.มุ่งเน้นกาความจริงที่คนทั่วไปจะยอมรับ (common reality)
3. เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์และทดลอง () ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยวิธีการทางสถิติ
4. ให้ความสำคัญกับผลที่จะได้รับมากกว่ากระบวนการการดำเนินการมีขั้นตอน ระเบียบแบบแผนที่ค่อนข้างแน่นอน
5. ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงอนุมาน ด้วยการทดสอบคำตอบที่คาดคิดไว้ล่วงหน้า
6. เริ่มต้นการศึกษาวิจัยด้วยทฤษฎี
7. เริ่มต้นการศึกษาวิจัยด้วยทฤษฎี
8. ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์

ที่มา : มนัส  สุวรรณ. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ . พิมพ์ที่ โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮาส์ , กรุงเทพฯ . 2544. 

ขั้นตอนของกระบวนการทำวิจัยสามารถแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ได้แก่
          1.  การกำหนดปัญหาการวิจัย (Problem definition) ซึ่งจะคลอบคลุมถึง ที่มาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย จุดมุ่งหมายของการวิจัย สมมติฐานของการวิจัย และประโยชน์ที่จะได้รับ 
          2.  การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Review related literature) เป็นการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องว่ามีใครทำวิจัยในประเด็นเกี่ยวกับปัญหานั้น ๆ ไว้บ้าง ผลการวิจัยได้ข้อค้นพบอะไรบ้าง การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยอย่างไร ตัวแปรที่ศึกษามีอะไรบ้าง กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นอย่างไร เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ทำวิจัยมีอะไร เป็นต้น
          3.  วิธีดำเนินการวิจัย (Method) เป็นการกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย (conceptual framework) ว่าการวิจัยมีประเด็นและสาระสำคัญอะไรบ้าง และขอบเขตการวิจัยเป็นอย่างไร ตัวแปรที่ศึกษามีอะไรบ้างและนิยามอย่างไร แบบแผนการวิจัย (research design) เป็นอย่างไร การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง การสร้างเครื่องมือการวิจัยและการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล 
          4.  การรายงานผลการวิจัย (Result) เป็นการแสดงผลลัพธ์จากการวิจัย แสดงผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผลให้อยู่ในรูปแบบของรายงานการวิจัย
          5.  การสรุปและอภิปรายผล (Conclusion and Discussion) เป็นการสรุปการดำเนินงานทั้งหมดตั้งแต่การกำหนดปัญหาการวิจัย จุดมุ่งหมายการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัยอย่างย่อ ผลการวิจัย และอภิปรายผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนข้อเสนอแนะในการประเด็นปัญหาวิจัยที่ควรได้รับการวิจัยต่อไป 

การกำหนดประเด็นปัญหาในการวิจัยโดยทั่วไป
          ปัญหาการวิจัย (Research Problem) หมายถึง สิ่งที่ก่อให้เกิดความสงสัย ใคร่รู้คำตอบ   ดังนั้น การกำหนดปัญหาการวิจัย จึงหมายถึง การระบุประเด็นที่นักวิจัยสงสัย และประสงค์ที่จะหาคำตอบ ซึ่งก็คือ ปัญหาการวิจัย นั่นเอง ฉะนั้น นักวิจัยจึงจำเป็นต้องระบุปัญหาการวิจัยให้เป็นกิจลักษณะ และชัดแจ้งทุกครั้งที่ดำเนินการวิจัย
        หลังจากกำหนดหัวข้อปัญหาในการวิจัยได้ตามความเหมาะสมแล้ว  ขั้นต่อไปจะต้องกำหนดประเด็นปัญหาของการทำวิจัยในชัดเจน  เป็นการตีกรอบปัญหาให้อยู่ในวงจำกัด  ซึ่งการตีกรอบปัญหาให้ชัดเจนจะช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยออกมาให้เด่นชัดขึ้น  เพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบวิจัยและวางแผนงานของการวิจัยในขั้นอื่น ๆ ต่อไป
            ประเด็นปัญหาในการวิจัย  โดยปกติจะเป็นปัญหากว้าง ๆ ที่ผู้วิจัยสนใจและอยากรู้คำตอบ  เช่น “การย้ายถิ่นของประชากรในประเทศไทย”  เบื้องหลังปัญหานี้อาจมีสิ่งต่าง ๆ มากที่ผู้วิจัยอยากรู้  เช่น จำนวนผู้ย้ายถิ่น  แบบแผนการย้ายถิ่นและ/หรือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการย้ายถิ่น  แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องค่าใช้จ่าย เวลา และความรู้ความสามารถ  อาจทำให้ผู้วิจัยไม่สามารถศึกษาได้ทุกประเด็น  นั้นเป็นหน้าที่ของผู้วิจัยที่จะต้องเสนอหรือแสดงให้ผู้อื่นทราบและเข้าใจ  การกำหนดประเด็นปัญหา คือวิธีการสรุปปัญหากว้าง ๆ ที่เลือกมาให้แคบงเพื่อสะดวกแก่การเข้าใจ 




การกำหนดประเด็นปัญหาในการวิจัยทางการพัฒนาชุมชน
          การพัฒนาชุมชนในอดีตที่ผ่านมา  จะเห็นว่าการพัฒนาชุมชนหรือชนบทเป็นการพัฒนาในเชิงที่ "ชุมชนและท้องถิ่นถูกพัฒนา”  รัฐบาลเป็นผู้กำหนดกรอบความคิดและวางแผนในการพัฒนาบ้านเมืองพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาชุมชน แล้วรัฐบาลก็ไปจัดการ ไปดำเนินการผ่านกลไกของระบบราชการ ชุมชนและท้องถิ่นจึงถูกพัฒนา ซึ่งหมายถึง ถูกสั่ง ถูกบอก และร่วมพัฒนาไปด้วย กระบวนการพัฒนาเกิดขึ้นภายใต้ระบบราชการที่รัฐบาลเป็นผู้กำกับ จากข้างบนลงล่าง บทบาทของชุมชนและท้องถิ่นในการพัฒนาจึงเป็นบทบาทรอง เป็นบทบาทที่ไม่สำคัญ บทบาทที่โดดเด่นและมีความสำคัญก็คือรัฐ  โดยรัฐเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาชุมชน และชุมชนเป็นผู้ถูกพัฒนา ชุมชนร่วมพัฒนา
            ในการกำหนดประเด็นปัญหาการวิจัยการพัฒนา ก็ต้องปรับกระบวนทัศน์ ปรับแนวคิดใหม่ จาก "ชุมชนถูกพัฒนาขยับเป็นขั้น "ชุมชนร่วมพัฒนาในกระบวนการวิจัยพัฒนาต้องให้ความสำคัญกับบทบาทของชุมชนมากขึ้น ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการวิจัยด้วย เรียกว่า "ชุมชนเป็นศูนย์กลางของการวิจัย"  


เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
การวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) : แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต แบบทดสอบ มาตรวัด
แบบบันทึก แบบรายการประเด็นที่ใช้ในการสนทนากลุ่ม เป็นต้น
การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) : แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบบันทึก แบบรายการประเด็นที่ใช้ในการสนทนากลุ่ม เป็นต้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1.แบบสอบถาม (questionnaire): ข้อเท็จจริง ความรู้สึกความคิดเห็น
- mailed questionnaire
- internetquestionnaire
ข้อดี ประหยัดเวลาและงบประมาณ ผู้ตอบมีอิสระในการตอบ
ข้อจำกัด ผู้ตอบไม่ให้ความร่วมมือ ไม่จริงใจในการตอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย


2. แบบสัมภาษณ์ (interviews)
- structured/unstructured interviews
-group/individual interviews
- in-depth or intensive interviews
ข้อดี ใช้ได้กับทุกคน อธิบายคำถาม สอบถามรายละเอียดเจาะลึก
ข้อจำกัด เสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูง คุณภาพข้อมูลขึ้นกับความสามารถของผู้สัมภาษณ์เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3. แบบสังเกต (observation)
- เหมาะกับข้อมูลที่เป็นสิ่งมีชีวิต คน/สัตว์/ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
-known/unknown observation
-participant/non-participant observation
-direct/indirect observation
ข้อดี ข้อมูลปฐมภูมิ มีรายละเอียดครบ ไม่มีปัญหาเรื่องปกปิดข้อมูล
ข้อจำกัด เสียเวลา/ค่าใช้จ่ายมาก ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวสูงของนักวิจัย การตรวจสอบความตรงของข้อมูลทำได้ยากเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
4. แบบสอบ (tests)
- เหมาะกับการวัดคุณลักษณะแฝง เช่น ความถนัด เชาวน์ปัญญา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
- individual/group tests
-oral/written tests
ข้อดี สามารถวัดคุณลักษณะแฝงได้ วัดได้อย่างมีคุณภาพ
ข้อจำกัด วิธีสร้างค่อนข้างยุ่งยาก ผู้สร้างต้องมีความรู้เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

5. แบบวัดหรือมาตรวัด (scales)
- เหมาะกับการวัดคุณลักษณะทางจิตวิทยา เช่น เจตคติ บุคลิกภาพ ความสนใจ ความเชื่อ ค่านิยม เป็นต้น
ข้อดี การเก็บข้อมูลไม่เข้มงวดเหมือนแบบสอบ สร้างง่ายกว่าข้อสอบ
ข้อจำกัด ต้องรู้ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับมาตรวัดที่จะสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
6. แบบบันทึกข้อมูลจากเอกสาร/หลักฐาน
- ใช้ในการวิจัยประวัติศาสตร์ การวิจัยเอกสาร
- เหมาะกับข้อมูลที่มีการบันทึกไว้เป็นเอกสาร / มีหลักฐาน
ข้อดี ไม่มีปัญหาเรื่องความร่วมมือ เสียค่าใช้จ่ายน้อย
ข้อจำกัด ต้องใช้ความสามารถในการหาความหมายข้อเท็จจริงที่แฝงในเอกสาร ข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน ข้อมูลขาดความตรงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
7. แบบรายการประเด็นการสนทนากลุ่ม (focus group discussion)
- ใช้ในการวิจัยสังคมศาสตร์และทางธุรกิจ
- เหมาะในการหาข้อสรุปความคิดเห็นของผู้รู้
ข้อดี ประหยัดเวลาและงบประมาณ
ข้อจำกัดทำได้บางเรื่องไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมอาจจะไม่ได้รับการเปิดเผยรูปแบบคำถาม(typesof question)
1. บังคับเลือก
1.1 Dichotomous question (ใช่/ไม่ใช่ หญิง/ชาย มี/ไม่มีประสบการณ์)
1.2 Measurement scale
-nominal (อาชีพ ภูมิล าเนา สาขา ฯลฯ)
-ordinal (เรียงอาชีพที่อยากท ามากที่สุดจนถึงน้อยที่สุดฯลฯ)
- interval (rating scale Guttmanscale)
แบบสอบถาม (Questionnaire)
แบบสอบถามเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ทั้งนี้เพราะเป็นวิธีการที่สะดวก และสามารถใช้วัดได้อย่างกว้างขวาง
รูปแบบของแบบสอบถาม
1. แบบสอบถามชนิดปลายเปิด (Open-ended Form)
แบบสอบถามชนิดนี้ไม่ได้กำหนดคำตอบไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ตอบเขียนตอบอย่างอิสระด้วยความคิดของตนเอง แบบสอบถามชนิดนี้ตอบยากและเสียเวลาในการตอบมาก เพราะผู้ตอบจะต้องคิดวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง
2. แบบสอบถามปลายปิด (Closed - ended Form)แบบสอบถามชนิดนี้ประกอบ ด้วย ข้อคำถามและตัวเลือก (คำตอบ) ซึ่งตัวเลือกนี้สร้างขึ้นโดยคาดว่าผู้ตอบ สามารถเลือกตอบ ได้ตามความต้องการ แบบสอบถามชนิดปลายปิด แบ่งเป็น 4 แบบ
2.1 แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เป็นการสร้างรายการของข้อคำถามที่เกี่ยวหรือสัมพันธ์กับคุณลักษณะของพฤติกรรม แต่ละรายการจะถูกประเมิน หรือชี้ให้ตอบในแง่ใดแง่หนึ่ง เช่น มี - ไม่มี จริง - ไม่จริง
2.2 มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในประเมินการปฏิบัติ กิจกรรม ทักษะต่าง ๆ มีระดับความเข้มให้พิจารณาตั้งแต่ 3 ระดับขึ้นไป เช่น เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
2.3 แบบจัดอันดับ (Rank Order) มักจะให้ผู้ตอบจัดอันดับความสำคัญหรือคุณภาพ โดยให้ผู้ตอบเรียงลำกับตามความเข้มจากมากไปหาน้อย
ตัวอย่าง - ท่านเลือกเรียนสารสนเทศเพราะเหตุใด โปรดเรียงอันดับตามความสำคัญของเหตุผลจากมากไปหาน้อย เหตุผล อันดับความสำคัญเรียงจากมากที่สุด
1. มีใจรัก ……….…  2. หางานง่าย ………… 3. ค่าใช้จ่ายถูก ………… 4. ได้รับทุนอุดหนุน …………

2.4 แบบเติมคำสั้น ๆ ในช่องว่าง แบบสอบถามลักษณะนี้จะต้องกำหนดขอบเขตจำเพาะเจาะจงลงไป เช่น ปัจจุบันท่านอายุ………………ปี ………….เดือน



ตัวอย่างแบบสอบถามชนิดจัดอันดับ (Rank Order)