ส1 สืบค้น
การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ
1 การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งหาข้อเท็จจริงและข้อสรุปเชิงปริมาณ เน้นการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของข้อค้นพบ และสรุปต่างๆ มีการใช้เครื่องมือที่มีความเป็นปรนัยในการเก็บรวบรวมข้อมูลเช่น แบบสอบถามแบบทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ การทดลอง เป็นต้น
2 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการวิจัยที่นักวิจัยจะต้องลงไปศึกษาสังเกต และกลุ่มบุคคลที่ต้องการศึกษาโดยละเอียดทุกด้านในลักษณะเจาะลึก ใช้วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการเป็นหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลจะใช้การวิเคราะห์เชิงเหตุผลไม่ได้มุ่งเก็บเป็นตัวเลขมาทำการวิเคราะห์
2 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการวิจัยที่นักวิจัยจะต้องลงไปศึกษาสังเกต และกลุ่มบุคคลที่ต้องการศึกษาโดยละเอียดทุกด้านในลักษณะเจาะลึก ใช้วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการเป็นหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลจะใช้การวิเคราะห์เชิงเหตุผลไม่ได้มุ่งเก็บเป็นตัวเลขมาทำการวิเคราะห์
ข้อแตกต่างระหว่างการวิจัยเชิงเชิงคุณภาพและการวิจัยปริมาณ
การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพมีที่มาแตกต่างกัน กล่าวคือ การวิจัยเชิงคุณภาพมีพื้นฐานปรัชญาแบบธรรมชาตินิยม (Naturalism) ในขณะที่การวิจัยเชิงปริมาณมีพื้นฐานแบบปรัชญาแบบปฏิฐานนิยม (Positivism) ดังนั้น
การค้นหาความจริงด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพจะเน้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามสภาพการณ์ที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งเรียกว่า แนวคิดแบบปรากฎการณ์นิยม (Phenomenalism) แล้วอาศัยวิธีการพรรณนาเป็นสำคัญ ในขณะที่การค้นหาความจริงด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณต้องอาศัยกระบวนการหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่บนรากฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์
และขั้นตอนที่มีระเบียบแบบแผน
ในกระบวนการศึกษาวิจัยด้วยวิธีการเชิงคุณภาพจะเริ่มต้นด้วยข้อมูลสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาศึกษาวิเคราะห์ด้วยวิธีการอุปมาน แล้วสรุปตีความผลการวิเคราะห์ตั้งเป็นองค์ความรู้ เป็นกฎหรือทฤษฎี กรณีของการศึกษาวิจัยวิธีการเชิงปริมาณจะเริ่มต้นด้วยกฎหรือทฤษฎีก่อน จากนั้นข้อมูลเชิงประจักษ์จะถูกรวบรวมและนำมาศึกษาวิเคราะห์ด้วยวิธีการอนุมาน
และสรุปเป็นข้อค้นพบ
เปรียบเทียบความแตกต่างในคุณลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ
การวิจัยเชิงคุณภาพ
|
การวิจัยเชิงปริมาณ
|
1. มีรากฐานมาจากปรัชญาแนวคิดแบบธรรมชาตินิยม(Naturalism)
2.
มุ่งทำความเข้าใจในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้ง
3.
เป็นการวิจัยที่เน้นการพรรณนา/อธิบาย (Descriptive
approach)
4.
ให้ความสำคัญกับกระบวนการได้มาซึ่งความจริงโดยมองแบบองค์รวม (Wholisticview)
5. ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงอุปมาน
6. มุ่งแสวงหาความรู้เพื่อสร้างเป็นกฏ/ทฤษฎี
7. สิ้นสุดการศึกษาวิจัยด้วยทฤษฎี
8.
ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในสาขาวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
|
1. มีรากฐานมาจากปรัชญาแนวคิดแบบปฏิฐานนิยม
(Phenomenalism)
2.มุ่งเน้นกาความจริงที่คนทั่วไปจะยอมรับ
(common reality)
3.
เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์และทดลอง ()
ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยวิธีการทางสถิติ
4.
ให้ความสำคัญกับผลที่จะได้รับมากกว่ากระบวนการการดำเนินการมีขั้นตอน
ระเบียบแบบแผนที่ค่อนข้างแน่นอน
5. ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงอนุมาน
ด้วยการทดสอบคำตอบที่คาดคิดไว้ล่วงหน้า
6. เริ่มต้นการศึกษาวิจัยด้วยทฤษฎี
7. เริ่มต้นการศึกษาวิจัยด้วยทฤษฎี
8.
ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์
|
ที่มา : มนัส สุวรรณ. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ . พิมพ์ที่ โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮาส์ , กรุงเทพฯ . 2544.
ขั้นตอนของกระบวนการทำวิจัยสามารถแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ได้แก่
1. การกำหนดปัญหาการวิจัย (Problem definition) ซึ่งจะคลอบคลุมถึง
ที่มาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย จุดมุ่งหมายของการวิจัย สมมติฐานของการวิจัย
และประโยชน์ที่จะได้รับ
2. การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Review related
literature) เป็นการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องว่ามีใครทำวิจัยในประเด็นเกี่ยวกับปัญหานั้น
ๆ ไว้บ้าง ผลการวิจัยได้ข้อค้นพบอะไรบ้าง การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยอย่างไร
ตัวแปรที่ศึกษามีอะไรบ้าง กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นอย่างไร
เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ทำวิจัยมีอะไร เป็นต้น
3. วิธีดำเนินการวิจัย (Method) เป็นการกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย
(conceptual framework) ว่าการวิจัยมีประเด็นและสาระสำคัญอะไรบ้าง
และขอบเขตการวิจัยเป็นอย่างไร ตัวแปรที่ศึกษามีอะไรบ้างและนิยามอย่างไร
แบบแผนการวิจัย (research design) เป็นอย่างไร
การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง
การสร้างเครื่องมือการวิจัยและการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ การเก็บรวบรวมข้อมูล
และการวิเคราะห์ข้อมูล
4. การรายงานผลการวิจัย (Result) เป็นการแสดงผลลัพธ์จากการวิจัย
แสดงผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผลให้อยู่ในรูปแบบของรายงานการวิจัย
5. การสรุปและอภิปรายผล (Conclusion and Discussion) เป็นการสรุปการดำเนินงานทั้งหมดตั้งแต่การกำหนดปัญหาการวิจัย
จุดมุ่งหมายการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัยอย่างย่อ ผลการวิจัย
และอภิปรายผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ตลอดจนข้อเสนอแนะในการประเด็นปัญหาวิจัยที่ควรได้รับการวิจัยต่อไป
การกำหนดประเด็นปัญหาในการวิจัยโดยทั่วไป
ปัญหาการวิจัย (Research Problem) หมายถึง สิ่งที่ก่อให้เกิดความสงสัย
ใคร่รู้คำตอบ ดังนั้น การกำหนดปัญหาการวิจัย จึงหมายถึง การระบุประเด็นที่นักวิจัยสงสัย และประสงค์ที่จะหาคำตอบ ซึ่งก็คือ
ปัญหาการวิจัย นั่นเอง ฉะนั้น
นักวิจัยจึงจำเป็นต้องระบุปัญหาการวิจัยให้เป็นกิจลักษณะ และชัดแจ้งทุกครั้งที่ดำเนินการวิจัย
หลังจากกำหนดหัวข้อปัญหาในการวิจัยได้ตามความเหมาะสมแล้ว ขั้นต่อไปจะต้องกำหนดประเด็นปัญหาของการทำวิจัยในชัดเจน เป็นการตีกรอบปัญหาให้อยู่ในวงจำกัด ซึ่งการตีกรอบปัญหาให้ชัดเจนจะช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยออกมาให้เด่นชัดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบวิจัยและวางแผนงานของการวิจัยในขั้นอื่น ๆ
ต่อไป
ประเด็นปัญหาในการวิจัย โดยปกติจะเป็นปัญหากว้าง
ๆ ที่ผู้วิจัยสนใจและอยากรู้คำตอบ เช่น “การย้ายถิ่นของประชากรในประเทศไทย” เบื้องหลังปัญหานี้อาจมีสิ่งต่าง ๆ มากที่ผู้วิจัยอยากรู้ เช่น
จำนวนผู้ย้ายถิ่น แบบแผนการย้ายถิ่นและ/หรือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการย้ายถิ่น แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องค่าใช้จ่าย เวลา และความรู้ความสามารถ อาจทำให้ผู้วิจัยไม่สามารถศึกษาได้ทุกประเด็น นั้นเป็นหน้าที่ของผู้วิจัยที่จะต้องเสนอหรือแสดงให้ผู้อื่นทราบและเข้าใจ การกำหนดประเด็นปัญหา คือวิธีการสรุปปัญหากว้าง ๆ
ที่เลือกมาให้แคบงเพื่อสะดวกแก่การเข้าใจ
การกำหนดประเด็นปัญหาในการวิจัยทางการพัฒนาชุมชน
การพัฒนาชุมชนในอดีตที่ผ่านมา จะเห็นว่าการพัฒนาชุมชนหรือชนบทเป็นการพัฒนาในเชิงที่
"ชุมชนและท้องถิ่นถูกพัฒนา” รัฐบาลเป็นผู้กำหนดกรอบความคิดและวางแผนในการพัฒนาบ้านเมืองพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาชุมชน แล้วรัฐบาลก็ไปจัดการ ไปดำเนินการผ่านกลไกของระบบราชการ ชุมชนและท้องถิ่นจึงถูกพัฒนา ซึ่งหมายถึง ถูกสั่ง ถูกบอก
และร่วมพัฒนาไปด้วย กระบวนการพัฒนาเกิดขึ้นภายใต้ระบบราชการที่รัฐบาลเป็นผู้กำกับ
จากข้างบนลงล่าง บทบาทของชุมชนและท้องถิ่นในการพัฒนาจึงเป็นบทบาทรอง
เป็นบทบาทที่ไม่สำคัญ บทบาทที่โดดเด่นและมีความสำคัญก็คือรัฐ โดยรัฐเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาชุมชน และชุมชนเป็นผู้ถูกพัฒนา
ชุมชนร่วมพัฒนา
ในการกำหนดประเด็นปัญหาการวิจัยการพัฒนา ก็ต้องปรับกระบวนทัศน์
ปรับแนวคิดใหม่ จาก "ชุมชนถูกพัฒนา" ขยับเป็นขั้น "ชุมชนร่วมพัฒนา" ในกระบวนการวิจัยพัฒนาต้องให้ความสำคัญกับบทบาทของชุมชนมากขึ้น ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการวิจัยด้วย เรียกว่า "ชุมชนเป็นศูนย์กลางของการวิจัย"
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
• การวิจัยเชิงปริมาณ
(quantitative research) : แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต
แบบทดสอบ มาตรวัด
แบบบันทึก
แบบรายการประเด็นที่ใช้ในการสนทนากลุ่ม เป็นต้น
• การวิจัยเชิงคุณภาพ
(qualitative research) : แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม
แบบบันทึก แบบรายการประเด็นที่ใช้ในการสนทนากลุ่ม เป็นต้น
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1.แบบสอบถาม
(questionnaire): ข้อเท็จจริง ความรู้สึกความคิดเห็น
- mailed
questionnaire
-
internetquestionnaire
ข้อดี
ประหยัดเวลาและงบประมาณ ผู้ตอบมีอิสระในการตอบ
ข้อจำกัด
ผู้ตอบไม่ให้ความร่วมมือ ไม่จริงใจในการตอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
2. แบบสัมภาษณ์
(interviews)
-
structured/unstructured interviews
-group/individual
interviews
- in-depth or
intensive interviews
ข้อดี ใช้ได้กับทุกคน
อธิบายคำถาม สอบถามรายละเอียดเจาะลึก
ข้อจำกัด
เสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูง คุณภาพข้อมูลขึ้นกับความสามารถของผู้สัมภาษณ์เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3. แบบสังเกต
(observation)
- เหมาะกับข้อมูลที่เป็นสิ่งมีชีวิต
คน/สัตว์/ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
-known/unknown
observation
-participant/non-participant
observation
-direct/indirect
observation
ข้อดี ข้อมูลปฐมภูมิ
มีรายละเอียดครบ ไม่มีปัญหาเรื่องปกปิดข้อมูล
ข้อจำกัด
เสียเวลา/ค่าใช้จ่ายมาก ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวสูงของนักวิจัย
การตรวจสอบความตรงของข้อมูลทำได้ยากเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
4. แบบสอบ
(tests)
- เหมาะกับการวัดคุณลักษณะแฝง
เช่น ความถนัด เชาวน์ปัญญา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
- individual/group
tests
-oral/written tests
ข้อดี
สามารถวัดคุณลักษณะแฝงได้ วัดได้อย่างมีคุณภาพ
ข้อจำกัด
วิธีสร้างค่อนข้างยุ่งยาก ผู้สร้างต้องมีความรู้เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
5. แบบวัดหรือมาตรวัด
(scales)
- เหมาะกับการวัดคุณลักษณะทางจิตวิทยา
เช่น เจตคติ บุคลิกภาพ ความสนใจ ความเชื่อ ค่านิยม เป็นต้น
ข้อดี
การเก็บข้อมูลไม่เข้มงวดเหมือนแบบสอบ สร้างง่ายกว่าข้อสอบ
ข้อจำกัด
ต้องรู้ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับมาตรวัดที่จะสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
6. แบบบันทึกข้อมูลจากเอกสาร/หลักฐาน
- ใช้ในการวิจัยประวัติศาสตร์
การวิจัยเอกสาร
- เหมาะกับข้อมูลที่มีการบันทึกไว้เป็นเอกสาร
/ มีหลักฐาน
ข้อดี
ไม่มีปัญหาเรื่องความร่วมมือ เสียค่าใช้จ่ายน้อย
ข้อจำกัด
ต้องใช้ความสามารถในการหาความหมายข้อเท็จจริงที่แฝงในเอกสาร ข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน
ข้อมูลขาดความตรงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
7. แบบรายการประเด็นการสนทนากลุ่ม
(focus group discussion)
- ใช้ในการวิจัยสังคมศาสตร์และทางธุรกิจ
- เหมาะในการหาข้อสรุปความคิดเห็นของผู้รู้
ข้อดี
ประหยัดเวลาและงบประมาณ
ข้อจำกัดทำได้บางเรื่องไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมอาจจะไม่ได้รับการเปิดเผยรูปแบบคำถาม(typesof question)
1. บังคับเลือก
1.1 Dichotomous
question (ใช่/ไม่ใช่ หญิง/ชาย มี/ไม่มีประสบการณ์)
1.2 Measurement
scale
-nominal (อาชีพ ภูมิล าเนา สาขา ฯลฯ)
-ordinal (เรียงอาชีพที่อยากท ามากที่สุดจนถึงน้อยที่สุดฯลฯ)
- interval (rating
scale Guttmanscale)
แบบสอบถาม (Questionnaire)
แบบสอบถามเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก
โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ทั้งนี้เพราะเป็นวิธีการที่สะดวก
และสามารถใช้วัดได้อย่างกว้างขวาง
รูปแบบของแบบสอบถาม
1. แบบสอบถามชนิดปลายเปิด (Open-ended
Form)
แบบสอบถามชนิดนี้ไม่ได้กำหนดคำตอบไว้
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ตอบเขียนตอบอย่างอิสระด้วยความคิดของตนเอง
แบบสอบถามชนิดนี้ตอบยากและเสียเวลาในการตอบมาก
เพราะผู้ตอบจะต้องคิดวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง
2. แบบสอบถามปลายปิด (Closed - ended
Form)แบบสอบถามชนิดนี้ประกอบ ด้วย ข้อคำถามและตัวเลือก (คำตอบ)
ซึ่งตัวเลือกนี้สร้างขึ้นโดยคาดว่าผู้ตอบ สามารถเลือกตอบ ได้ตามความต้องการ
แบบสอบถามชนิดปลายปิด แบ่งเป็น 4 แบบ
2.1 แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เป็นการสร้างรายการของข้อคำถามที่เกี่ยวหรือสัมพันธ์กับคุณลักษณะของพฤติกรรม
แต่ละรายการจะถูกประเมิน หรือชี้ให้ตอบในแง่ใดแง่หนึ่ง เช่น มี - ไม่มี จริง -
ไม่จริง
2.2 มาตราส่วนประมาณค่า (Rating
Scale) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในประเมินการปฏิบัติ กิจกรรม ทักษะต่าง
ๆ มีระดับความเข้มให้พิจารณาตั้งแต่ 3 ระดับขึ้นไป เช่น
เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
2.3 แบบจัดอันดับ (Rank Order) มักจะให้ผู้ตอบจัดอันดับความสำคัญหรือคุณภาพ
โดยให้ผู้ตอบเรียงลำกับตามความเข้มจากมากไปหาน้อย
ตัวอย่าง - ท่านเลือกเรียนสารสนเทศเพราะเหตุใด
โปรดเรียงอันดับตามความสำคัญของเหตุผลจากมากไปหาน้อย เหตุผล
อันดับความสำคัญเรียงจากมากที่สุด
1. มีใจรัก ……….… 2. หางานง่าย ………… 3. ค่าใช้จ่ายถูก ………… 4.
ได้รับทุนอุดหนุน …………
2.4 แบบเติมคำสั้น ๆ ในช่องว่าง
แบบสอบถามลักษณะนี้จะต้องกำหนดขอบเขตจำเพาะเจาะจงลงไป เช่น ปัจจุบันท่านอายุ………………ปี ………….เดือน
ตัวอย่างแบบสอบถามชนิดจัดอันดับ (Rank Order)